กรุงเทพ> อุดร>หนองคาย>บึงกาฬ
ทริปนี้ เราใช้บรการของการรถไฟแห่งประเทศไทย เดินทางจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ที่เคยโด่งดังจากเรื่องทัวร์ลงเรื่องป้ายชื่อสถานีราคาสิบกว่าล้านจนต้องพักรบไป ตัวสถานีกว้างขวางสมฐานะราชาที่ดินของไทย ภายในอาคารแอร์เย็นจากหัวจ่ายขนาดใหญ่เป่าลมจนแม้แต่ฝรั่งยังต้องรีบเปิดกระเป๋าเดินทางรื้อเสื้อกันหนาวและหมวกมาสวมใส่
สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์เดิมก็คือชุมทางบางซื่อซึ่งเป็นชุมทางที่เมื่อรถไฟทุกสายวิ่งออกจากสถานีหัวลำโพงก็จะมาแยกไปสายเหนืออิสาน และใต้ มีเพียงสายเดียวคือสายตะวันออกที่จะแยกไปทางสถานีมักกะสันก่อนจะเข้าบางซื่อ
รถไฟสายอิสานและสายเหนือเทาที่ได้สัมผัสมาดูจะมีตู้โบกี้ที่ใหม่ทันสมัยกว่าสายใต้ และก็จะจองได้ง่ายกว่าไม่ต้องแย่งกันจองตั้งแต่ว่าถึงกำหนดให้จองได้เหมือนสายใต้ และก็มักจะมีที่นั่งว่างๆเหลือ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ ตั๋วเครื่องบินสายอิสานก็จะราคาใกล้เคียงกับตั๋วรถไฟ(ชั้น2 นอน(ปรับอากาศราคา 994บาท ) ซึงตั๋วเครื่องบินบางไฟลท์อาจจะต่ำกว่าด้วยซ้ำ อีกอย่างพี่น้องอิสานมักจะขับรถส่วนตัวกลับบ้านกันมากกว่าเพราะถนนหนทางสะดวกสะบายเข้าถึงทุกซอกซอยหมู่บ้าน รถไฟสายอิสานช่วงนี้ดูจะได้อนิสงค์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นิยมเดินทางไปเวียงจันทน์ จะเห็นว่ารถขบวนกรุงเทพ เวียงจันทน์จองเต็มตลอด จนต้องมาใช้ขบวนกรุงเทพหนองคายและไปต่อรถที่หนองคายอีกครั้ง
รถไฟออกจาก สถานีกรุงเทพฯ20:25 ตรงเวลา ถึงหนองคาย 6:25 ตรงเวลาหน้าตั๋วเป๊ะ ถือเป็นวิวัฒนาการของการรถไฟที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
หน้าสถานีมีรถตุ๊กๆและสกายแลปมาเข้าคิวรอนักท่องเที่ยวกันอย่างมีระเบียบโชว์เฟอร์ก็ไม่ออกอาการชี้ชวนจนอึดอัดและไม่ออกอาการทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อโดนปฏิเสธ ทริปนี้พวกเราใช้บริการรถเช่าขับเอง ค่าเช่าวันละ 900 บาท รถมาส่งให้หน้าสถานีเลยสะดวกดี เป็นบริการของ ร้าน TUB CAR RENT บริการดี ชี้ชวนดี แต่ดูจะติดขี้บ่นสักเล็กน้อย ที่ทราบเพราะเจ้าของเอารถมาให้เราที่หน้าสถานีและขับไปทำสัญญารับรถกันที่ออฟฟิใกล้เชิงสะพานมิตรภาพไทยลาว
รับรถเรียบร้อยอันดับแรกลองขับไปสำรวจที่พักที่จองไว้สำหรับมาพักคืนสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ เป็นโฮมสเตย์ เล็กๆอยู่ริมโขงมองเห็นสะพานข้ามไปเวียงจันทน์และเห็นชนบทชานเมืองเวียงจันทน์อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถือว่าบรรยากาสดีที่ราคาไม่แพง
ดูที่พักเสร็จก็ไปสักการะพระคู่บ้านคู่เมืองหนองคาย ตั้ง GPS ไปอารามหลวงวัดหลวงพ่อพระใส อย่าลืมว่าต้องมีคำว่าวัดโพธิ์ชัยอยู่ด้วยมิฉะนั้น GPS จะพาหลง
Wat Pho Chai
Phra Sai or Luang Pho Phra Sai is a cross-legged Buddha image in the posture of Maravichai. Lan Chang art Cast in bright gold He has a very beautiful appearance. The lap width is 2 spans 8 inches. The height from the lower monk to the top of the hair is 4 spans 1 inch.
“หลวงพ่อพระใส” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์จากล้านช้าง สู่พระคู่เมืองหนองคาย 1 ปีสรงน้ำได้ 1 หน
หลวงพ่อพระใส” เป็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานที่วัดโพธิ์ชัย จ. หนองคาย และอยู่คู่บ้านคู่เมืองมาเป็นระยะเวลาหลายชั่วอายุคน ใครที่ผิดหวัง เสียใจ หรือหาที่พึ่งทางใจ ล้วนแวะเวียนไปกราบท่าน เพื่อให้ท่านช่วยเหลือเกื้อกูล เพราะเล่าสืบกันมาว่าท่านมากด้วยอภินิหาร ดังจะเล่าให้ฟัง
จากตำนานเล่าขานมาเนิ่นนาน เชื่อกันว่าพระธิดาสามพี่น้องแห่งกษัตริย์ล้านช้าง (คาดว่าเป็นธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่งหลวงพระบาง) เป็นผู้ร่วมสร้าง “หลวงพ่อพระใส” พร้อมด้วย พระสุกและพระเสริม ขึ้นเป็นพระพุทธรูปประจำตัว เนื่องจากต้องการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงไว้
พระสุกคือพระประจำพี่ใหญ่ พระเสริมประจำคนกลาง และพระใสประจำองค์เล็ก…
ขณะสร้างพระพุทธรูป 3 องค์ เล่ากันว่ามีอภินิหารน่าอัศจรรย์ใจเกิดขึ้น ชาวบ้านกับวัดต่างช่วยกันสร้างและสูบเตาหลอมทองกันกว่า 7 วัน แต่ไม่เป็นผล ทองไม่ยอมละลาย จนวันที่ 8 อยู่ ๆ ก็มีชีปะขาวจากที่ใดไม่ทราบโผล่มา พร้อมอาสามาช่วยเหลือ
ชาวบ้านและพระเณรเห็นดังนั้นจึงปล่อยให้หลอมทองไป ส่วนพวกตนก็กลับไปทำหน้าที่อื่น ๆ เวลาผ่านไป ชาวบ้านเห็นกลุ่มชีปะขาวมากมายกำลังแข็งขันกันหลอมทอง แต่พระกลับเห็นชีปะขาวแค่คนเดียว
อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกคนกลับมาอีกครั้งก็ไม่เห็นผู้ใด หลงเหลือแค่เพียงทองทั้งหมดถูกเทลงไปในเบ้าหลอมทั้ง 3 เบ้าเรียบร้อยแล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นสมบูรณ์ พระสุก พระเสริม พระใส ก็ถูกนำไปประดิษฐานที่เมืองหลวงอาณาจักรล้านช้าง พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ถือเป็นพระพุทธรูปที่ชาวเมืองรักและหวงแหนมาก เพราะเมื่อใดที่เกิดสงคราม ก็จะถูกย้ายไปไว้ที่ภูเขาควายเพื่อความปลอดภัย และเมื่อสถานการณ์ปกติจึงจะนำกลับมาไว้ที่เดิม
ต่อมาพระสุก พระเสริม พระใส ก็ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานที่เวียงจันทน์ แต่ไม่ทราบว่าเมื่อใด
กระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ที่เมืองเวียงจันทน์ขึ้น รัชกาลที่ 3 ทรงส่งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพเป็นแม่ทัพไปปราบ และเมื่อสงครามสงบลงก็ได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม พระใส มาที่ วัดโพธิ์ชัย จ. หนองคาย
แต่บางตำนานก็เล่าว่าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 พระองค์ไม่ได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ แต่เป็นที่ภูเขาควาย โดยนำพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ใส่แพไม้ไผ่ล่องมาตามน้ำและเกิดเหตุอัศจรรย์ใจ เพราะพระสุกได้แหกแพลงมา บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า “เวินแท่น”
อย่างไรก็ตาม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็นอัญเชิญพระเสริมไปที่กรุงเทพฯ และจะประดิษฐานที่วัดปทุมวนาราม แต่ขุนวรธานีต้องการอัญเชิญพระใสกลับไปด้วย
แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบ เมื่อชักลากพระใสที่ประดิษฐานบนเกวียนผ่านตรงหน้าวัดโพธิ์ชัย เกวียนก็หักโค่นลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ชาวบ้านจึงคาดว่าเป็นเพราะอำนาจอิทธิฤทธิ์ของเหล่าเทวดา พญานาค ที่ยื้อยุดฉุดหลวงพ่อพระใสไว้ เนื่องจากเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของบรรดาผู้มีบุญ
ปัจจุบัน หลวงพ่อพระใสยังคงประดิษฐานที่ วัดโพธิ์ชัย จ. หนองคาย และมีงานประเพณีสมโภชหลวงพ่อพระใสเป็นประจำทุกปีในวันสงกรานต์ โดยจะอัญเชิญหลวงพ่อพระใสขึ้นราชรถ แห่ตามเมืองเพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชาสรงน้ำ ในแต่ละปีก็จะเกิดปาฏิหาริย์เหตุการณ์ฝนฟ้าครึ้ม มีฝนตกโปรยปรายลงมาเพื่อให้บ้านเมืองชุ่มฉ่ำตลอดวัน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpPFLjihbUx8Unzpva7nrsZ4vItjyxfKr8KzCqmxBHKPYSxg-qhB9V57eHy5JCoU_-dbtQig-SKxpq3ToSTrIW022bO15T5qPSgIetBMSrqr6F_-i8ciUazOTC03T1CeBZmKd6wNAJwIKS5S6gJP9axkqjACYw0zwDruujBHKeeGArFGJySyTiL60y7gIw/w300-h400/IMG_1593.jpeg) |
เป็นภาพเขียนฝาผนังที่ร่วมสมัยใสซื่อและจริงใจมากๆ |
กราบหลวงพ่อพระใส เรียบร้อยก็ไปหาร้านอาหารเช้า ได้ร้านเล็กๆเจ้าของทำอาหารเอง ชื่อร้านอิ่มเอม สั่งข้าวต้มกระดูกหมู ไข่กระทะและกาแฟโบราณสูตรเวียงจันทน์ อิ่มหนำสำราญก็เดินทางต่อไปบึงกาฬ
ถึงบึงกาฬใกล้ๆเที่ยงไปหาร้านส้มตำแถวๆริมโขงกินกัน ก็มีร้านหลายร้านแต่ยังไม่เปิดให้มีบริการ ในที่สุดก็ไปลงที่ร้านส้มตำและอาหารตามสั่งชื่อ ร้านต้นกล้าพาแซบ ก็แซบสมชื่อ
หลังอาหารเที่ยงมีเวลาช่วงบ่ายตอนแรก ตั้งใจจะไปเที่ยวชมน้ำตกที่มีหลายที่ในบึงกาฬแต่มาทราบว่าช่วงเดือนนี้ล้วนแต่น้ำแห้ง ไม่สวยงามเลยเลือกที่จะไม่ไปไว้โอกาสหน้าค่อยมาตอนหน้าฝน ตามเส้นทางแหลางท่องเที่ยวของบึงกาฬก็จะมีวัดภูทอก ก็ลองแวะชมเสียหน่อย
วัดภูทอก วัดเจติยาคีรีวิหาร วัดสวย บึงกาฬ เดินริมหน้าผาวัดใจ สู่แดนสวรรค์
เห็นจั่วหัวแบบนี้คิดว่าพวกเราจะขึ้นไหม ไว้โอกาศหน้าแล้วก่อน ค่อยมากับกลุ่มวัยรุ่นหน่อย เห็นว่ามีจุดชมธรรมชาติมากอยู่ ตามคำบอกเล่านี้นี้
“หลังจากไหว้พระด้านล่างเสร็จแล้ว ก็เริ่มเดินขึ้นไปยังยอดภูทอกได้เลย ซึ่งจุดเด่นของภูทอกคือบันไดและสะพานไม้วนแบบ 360 องศา ที่สร้างขึ้นรอบๆเขาหิน โดยมีทั้งหมด 7 ชั้น และใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 5 ปีเต็ม โดยไม่ใช้เครื่องจักรกลใดๆเลย สะพานไม้ทั้งหมดเกิดจากฝีมือ และแรงกายแรงใจ รวมถึงภูมิปัญญาของชาวบ้านที่มีความศรัทธาต่อสถานที่แห่งนี้ ใครที่กลัวความสูงเดินขึ้นอาจมีเสียวได้ ชั้นที่ 1 เป็นการเริ่มขึ้นบันไดไม้ โดยจะมีพรรณไม้ต่างๆ หลายสายชนิดให้ชมตลอดทาง
ชั้นที่ 2 เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จะเห็นสถานีวิทยุชุมชนของวัดอยู่ด้านขวามือ ซึ่งทัศนียภาพไม่ต่างกับชั้น 1 เท่าไหร่ชั้นที่ 3 เริ่มมีสะพานเวียนรอบเขา โดยจะมีโขดหิน ลานหิน หน้าผา และไม้ยืนต้นขึ้นกางกิ่งใบให้ร่มเงาชั้นที่ 4 จากชั้นนี้มองลงไปข้างล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกันเรียกว่า “ดงชมพู” ทิศตะวันออกจรดกับ “ภูลังกา” ชั้นนี้จะมีที่พักของแม่ชีด้วยชั้นที่ 5 เป็นที่ตั้งศาลาและกุฏิพระภิกษุสงฆ์ ตามทางเดินมีถ้ำตื้นๆ หลายถ้ำ มีที่นั่งพักได้หลายจุด ถือเป็นชั้นที่สำคัญที่สุดชั้นที่ 6 จะเป็นสะพานไม้แคบๆ ติดกับหน้าผาสูงชัน โดยมีความยาวทั้งหมด 400 เมตร ถึงจะดูน่ากลัวแต่เป็นจุดชมวิวที่ค่อนข้างสวยชั้นที่ 7 เป็นทางค่อนข้างชันและเดินลำบาก รวมถึงมีป่าไม้รกทึบ จึงไม่แนะนำให้เดินเท่าไหร่ เพราะอาจได้รับอันตรายจากสัตว์มีพิษ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8ZwLg3hzooMI9zEmwWcD5VRp0yZ6G7AkiLLb-BT5LexmjmftsaO6tCSe-tT0KA45GyW1qAvo0ZVDBUaBHDwDmU_h394twp0xgTLdrzf1LWkYvewU0OGwrqzCTh2X9BDuEjl4xkEi9nvlUqxj5TJBNZl_a-u5-dHda29XV5b71T9ippG_ZdSK4N_GEoB0I/w654-h872/IMG_1597.jpeg)
คราวนี้ชมด้านล่างไปก่อน จบจากวัดภูทอกยังมีเวลาเหลือ งั้นลองแวะไปน้ำตกอีกสักที่ เลือกเป็นน่ำตกถ้ำพระเพร่ะคิดว่าถึงจะไม่มีน้ำแต่คงมีถ้ำให้เข้าไปดูอะไรได้บ้าง วิ่งไป40กิโลกว่า รากฏว่าไปถึงเค้าว่าต้องนั่งเรือไปอีกชั่วโมง อ้าว หมดเวลา กลับเข้าที่พักสิ อาบน้ำอาบท่าร่างกายให้เพลซ แล้วออกไปหามื้อเย็นกินกัน ได้ชื่อร้านมาแล้วจากพนักงานโรงแรมว่าร้านนี้อร่อย” ร้านครัวเสวย”
ร้านครัวเสวย ก็เป็นร้านอยู่ริมถนนเลียบแม่น้ำโขงที่เรามาสำรวจไปแล้วรอบนึงเมื่อตอนกลางวัน กลับมา อีกทีตอนมื้อค่ำมีแขกเต็มร้าน อาหารอร่อยราคาไม่แพง แป๊ะซะปลาช่อนก็อร่อยแต่พุงปลาช่อนของชอบของเราหายไปจบวัน
ลงจากภูสิงห์ก็ไปชมวัดสะดือโขง
Wat Ahong Silawas
วัดอาฮงศิลาวาส
วัดที่เต็มเป็นด้วยก่อนหินกลมขนาดใหญ่เรียงราย มีเฟิร์นและกล้วยไม้ปกคลุมซึ่งคงจะงดงามมากในหน้าฝน
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง บ้านอาฮง ตำบลไคสี เป็นวัดเก่าแก่ที่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าก่อตั้งเมื่อใด สันนิษฐานว่าแต่ก่อนเคยเป็นวัดป่า ปัจจุบันมีการบูรณะสิ่งก่อสร้างภายในวัดขึ้นมาใหม่ บริเวณวัดกว้างขวางและสวยงาม ในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธคุวานันท์ศาสดา หล่อด้วยทองเหลือง ลักษณะคล้ายกับพระพุทธชินราช มีความเชื่อกันว่าลำน้ำโขงในบริเวณหน้าพระอุโบสถของวัดเป็นจุดที่ลึกที่สุดในแม่น้ำโขง เรียกว่า “สะดือแม่น้ำโขง” เคยมีการวัดความลึกโดยใช้เชือกผูกกับก้อนหินหย่อนลงไปได้ลึกถึง 200 เมตร ในฤดูน้ำหลาก กระแสน้ำจะไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ เมื่อรูปกรวยแตกจะมีเสียงคล้ายกระแสน้ำไหลเซาะโขดหินแล้วค่อย ๆ หายไป เมื่อกระแสน้ำเชี่ยวมาอีกก็จะก่อตัวขึ้นใหม่เกิดสลับกันตลอดทั้งวัน ส่วนหน้าแล้งในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม จะมองเห็นเกาะแก่งกลางน้ำชัดเจน แต่ละปีบริเวณนี้มีบั้งไฟพญานาคขึ้นเป็นจำนวนมาก และในบริเวณวัดมีรูปปั้นของเทพธิดาสะดือแม่น้ำโขง ซึ่งชาวบ้านนิยมมาบนบานศาลกล่าวให้ได้โชคลาภและสมหวังในความรัก นอกจากนี้ บริเวณแก่งอาฮงมีโขดหินมากมายและถ้ำใต้น้ำ จึงมีระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งที่มีปลาบึกซึ่งเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกชุกชุมอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5Kxw5PjveYkRWFgJUU3RPQe6BF3R9p_FNsFQoYQj42M0EIlIMhcOuUmiv9sgoqrpXSlUlPvZaR3JIKclMhXg7LEo_kxUvI2iyD1dhLbB7XnCtUo6F4rPFGx3WyuatpVT4CZ2hHxbb1_8XTpnzPmz37IbKmQ59fjLXqmuSSwH0Fbo2I3h6H88elecrepqy/w640-h480/IMG_1696.jpeg)
มีความเชื่อสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันว่า พระอุปคุต เป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์ทางปราบมาร และบันดาลโชคลาภ ได้ซึ่งชื่อ "อุปคุต" มีความหมายว่า ผู้คุ้มครองรักษา “ตำนานพระอุปคุต” แห่งสะดือแม่น้ำโขง“ความเชื่อโบราณ ผู้เปี่ยมด้วยบุญฤทธิ์ โดยมีพญานิลกาฬนาคราชคอยคุ้มครองปกปักรักษา เชื่อกันว่าวันนี้ท่านจะขึ้นมาจากกลางสะดือทะเล เพื่อรับบิณฑบาตโปรดผู้คนให้ได้สร้างบุญกุศล สร้างบุญให้แก่มนุษย์ในวัน "เพ็งพุธ" เชื่อว่าใครที่ได้บูชาพระอุปคุตแล้ว จะบังเกิดความโชคดี เด่นเรื่องโชคลาภ ความร่ำรวย คุ้มกันภัยอันตราย
จากที่นี่เราเดินทาง50 กมเพื่อไปพักผ่อนคลายร้อนที่บึงโขงหลง
บึงโขงหลง
เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ มีลักษณะรูปทรงคล้ายเขาวัวแคบ ๆ มีเนื้อที่ 8,062 ไร่ มีความยาวประมาณ 13 กิโลเมตร และมีความกว้างประมาณ 2 กิโลเมตร น้ำในบึงมีความลึกโดยเฉลี่ยประมาณ 0.1-1 เมตร จุดที่ลึกที่สุดมีความลึกประมาณ 6 เมตร ต้นน้ำของบึงโขงหลง เกิดจากภูวัวและภูลังกาไหลมารวมกันลงสู่แม่น้ำสงคราม และลงสู่แม่น้ำโขงในที่สุด
เมื่อ พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาโครงการเก็บกักน้ำเพื่อการเกษตรในฤดูแล้ง ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2523 และได้รับการประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง ต่อมา พ.ศ. 2544 บึงโขงหลงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับนานาชาติ (Wetland of International Importance) อันดับที่ 1,098 ของโลก เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำและพืชน้ำนานาชนิด พบนกน้ำกว่า 100 ชนิด และนกอพยพมากกว่า 30 ชนิด
นอกจากนี้ยังพบปลาบู่แคระที่หาดูได้ยาก บริเวณบึงโขงหลงยังมี “หาดคำสมบูรณ์” หาดทรายทอดยาว เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจ มีห่วงยาง เรือถีบ ร้านอาหารให้บริการ และยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของบึงโขงหลง โดยมีภูลังกาตั้งเด่นเป็นฉากหลัง
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjr-LSYIezX1oNP7KnYY4RVzxrLTIdxG7l1Xlk612OXw060EPzNvMJ0GiAhyphenhyphenWnSmfF8d1Cjrrmfx8pbUKMZn2Abw8URSvB8ISeXV4QbGdIhEa183O3jgODlkE957vg-b5U5zhudR7rBkdKPDcORthvTzdtJqUF7tVlehhz3z0wPGB0RLYUwxy6FMZpZOxDw/w640-h288/IMG_1927.jpeg)
สำหรับคนบึงกาฬเองชอบที่จะมาพักผ่อน ทานอาหาร ละเล่นน้ำเหมือนคน เมืองหลวงไปเที่ยวบางแสนประมาณนั้น
ทานอาหารเสร็จ เมื่อมาถึงบึงโขงหลงก็ต้องไม่พลาดที่จะไปสักการะหลวงปู่อือลือสักครั้งแต่ไม่ได้ข้ามไปที่เกาะกลางน้ำ
วันที่3เดินทางกลับหนองคายแวะอุดหนุนเชฟชุมชนบ้านเดื่อ
วิถีชีวิตลุ่มน้ำโขงที่ชุมชนบ้านเดื่อ ชุมชนบ้านเดื่อเป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นอยู่ริมน้ำ แต่ส่วนมากจะเป็นต้นมะเดื่อ และด้วยสาเหตุนี้เองที่บรรพบุรุษให้ชื่อชุมชนนี้ว่า “ชุมชนบ้านเดื่อ” วิถีชีวิตของชาวชุมชนบ้านเดื่อเป็นวิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำโขงที่เงียบสงบและมีวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม มีกลุ่มอาชีพที่หลากหลาย รวมตัวกันเป็นกลุ่มท่องเที่ยวชุมชนบ้านเดื่อ ที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้ม
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRy6k_1aFJQfZYvTM1eIORXZjwLQdZUuiv58EIyk131M1QGQqoDxrSGIuH2GjGOZAL6rKXXl_hLtyBb8yMCMqMJWAgPRO7otlKzBmwpbt3aGzt5pfbVT1_borySd0_Ll0aGzRJx2c2wMwewF9KoiQsLV25lHwV0atNHAOnKefpBxTk76OCLD72pIvvV5Qp/w640-h480/IMG_1713.jpeg) |
น้ำมะเดื่อโซดา
เมนูอาหารกูจะมีมะเดื่อมาเกี่ยวของเกือบทุกรายการ |
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgX6CR1tway5j9fpeZ0SL1PrH0KShwUpjcuMEt5UHmVNftyFEw_9tWvHHzUQVF6j97NdFb_GrxwD-19rvFDR0Cagl3Odf2DYSIQglThqpBbg3BLYxoQOVH1-UNshD_rhQbdeqfAxybwTmWiuDpnKvMaMfyjJjSqGZvBwlviGwVma6re-aLBDfWx0idf3yB4/w640-h480/IMG_1714.jpeg) |
เมี่ยงปลานิลทอด |
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgu1Lu6XJZ2kcT6JiaSNxa07zpWzEMOU8qVw0wa-X3i3NhROIlKyBJ0DvzJu6dU5532gTG7vxVJqCtOveTn_NlfbS4SIjDujXJe5GnqTRIhhlIx7NMF4VgCA85M6KsvyyXrE0jklZC2_wlxArUirmdqwp7DY5qSbQpBrW8vhLnT1ShopxXtamzxLLzQvU8/w658-h878/IMG_1725.jpeg) |
ตำหลวงพระบาง |
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKUxCUlMtKzSYkkKnUFWO5oy19wH_LyIpXwNpmzwk0gRqsH3o2NAfN3Z_EtTNqdvPpairIjH0939QPmOc4Ta6Vje1DBUGuURwWPAzCPvxSbgkdAEa1HkxQoya-LVjkAjBjiAtgh6EBkmDeU2enGHJ0ReCjLZCAxYu6eZ2qy1XLe4VNbEQjq1y64F4HSlUR/w607-h810/IMG_1743.jpeg) |
วัตถุดิบในการประกอบอาหาร สวนผักและกระชังปลานิลริมแม่น้ำโขง อยู่หลังร้านนี่เองไม่ต้องไปหาไกล
ก่อนเข้าหนองคายแวะที่ท่องเที่ยวมีชื่อของหนองคาย
ศาลาแก้วกู่
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEYyixyoNn-beF9Dr6dSUlDbl5Ek95bSlVuIxjx4rjm2Z_HJ1dNCuC0gFtWydWC_OjtFUvvLKbjgzp-Bpthwk9M-YUKwzaMYu413wyYXecHXvO9wk5KJG7tOPIEJ2RzN-hMMtkl5um-6QgvlF-v3BX7IZ0KtFXmO4f52EFJBg3XF1lAT7AXgp1HTDEwx-7/w640-h480/IMG_1746.jpeg)
|
ศาลาแก้วกู่ เป็นอุทยานขนาด 42 ไร่ของสำนักปฏิบัติธรรมแก้วกู่ และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในชุมชนสามัคคี อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ที่ประดิษฐานรูปปั้นคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่จำนวนรวมกว่า 200 องค์ โดยประกอบด้วยพระพุทธรูป พระรูปของพระโพธิสัตว์ เทพเจ้าฮินดูบุคคลในคริสต์ศาสนา ความเชื่อพื้นบ้าน และตัวละครจากรามเกียรติ์ อุทยานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์ ภายใต้แนวคิดว่า "ทุกศาสนาสามารถอยู่รวมกันได้" และให้เป็น "สถานที่แทนภาพดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง" ในปี พ.ศ. 2521
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguGQzzgtsWDYufGoUJId9hG7dqGB57cVd9P0qCT2O56hiOdsOTYNw_iJ5648eAeLnaWQozrHnPhvM__2T6HVeJ-mbvGG936EO_rXNFDF183iOzPI4T3wfke74f3lNnxs3XI6685EXymiyyDlvc0TGxFjgygajl3BWAZTVsa0c7gUBMHwmZ3ImE1qPSs_zE/w636-h847/IMG_1745.jpeg) |
พระพุทธรูปปางนาคปรกพระ ระจำวันเสาร์สไตล์แก้วกู่ |
เย็นเข้าเช็คอินที่พักเรียบร้อยก็ออกไปเดินถนนคนเดินเลียบแม่น้ำ้โขงวันนี้มีตลาดนัดอาหารข้างถนน ได้เป็นอาหารเย็นสำหรับวันนี้
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgcHyRo-revN4PDJMBwRvnQWaBFOgQzx5Nd6FDNV93iL_4KNjlWSe5q0BULvoiFN71PE5IsrIi-tzhaPD9NZ4l4JdxxmgNCm8XiFoX_LgovcCbdDyxE6s36xlDbErMg5suwpuQkcdrtV533aP0cp0O9ptWlOIFMFsrzgWaYtzI0xwN2JF9rmu9wEc64GjOk/w659-h494/IMG_1758.jpeg) |
วันนี้วันที่5 ธันวา นิสิต มหาวิทยาลัยขอนแก่นมาทำกิจกรรมบรรเลงเพลงพระราชนิดนธ์เพื่อรำลึกถึงคนบนสวรรค์
|
วันที่4 วันนี้จะเดินทางกลับโดยรถไฟเที่ยวคำ่ มีเวลาอีกทั้งวัน ไปเที่ยวไกลๆได้ เราเลือกใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำโขง
จุดหมายแรก
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvpCquRmGHvZRPMC-Ifs-upfqjBMhay6sxhcOyScsdCf1kOvCrGZno53Q9wjfs-pAelzYW0Wqp-92I1mVnfI7JTY4XoT6jC43NOURDencyInhv7jxPDI38schiK84dKA_RNeC6bA-V9OxE-EWOLlK-cjnz5GnfBWzj3jKLBOwBLobKu2M5yvGZVsX1eB29/w300-h400/IMG_1763.jpeg) |
หุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่เทสก์ |
วัดหินหมากเป้ง เป็นวัดราษฎร์ สังกัดธรรมยุติกนิกาย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2482 โดยพระอาจารย์หล้า ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ.2513 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในวัดสำคัญของพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากในสมัยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์) ลูกศิษย์รูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่ได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้เมื่อ พ.ศ.2508 และริเริ่มจัดตั้งให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของภิกษุสงฆ์ แม่ชี และผู้แสวงบุญทั้งหลาย คำว่า “หินหมากเป้ง” เป็นชื่อหิน 3 ก้อน ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ริมฝั่งโขงด้านทิศเหนือของวัด ซึ่งมีลักษณะคล้ายลูกตุ้มเครื่องชั่งทองคำสมัยโบราณ คนพื้นถิ่นเรียกว่า “เต็ง” หรือ “เป้งยอย” (หมากเป้งเป็นผลของต้นไม้ตระกูลปาล์มหรือหมากชนิดหนึ่ง) ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าหินก้อนที่ 1 เป็นของหลวงพระบาง หินก้อนที่ 2 เป็นของบางกอก ส่วนหินก้อนที่ 3 เป็นของเวียงจันทร์ (หินทั้ง 3 ก้อน จะมองเห็นได้เฉพาะในมุมมองจากแม่น้ำโขง หรือมุมมองจากฝั่งลาว)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYMEGLP14EM2JUtFNDhUi44aT3ZxgZ6k0JAFtVDtsUu0Ijm5-P2y1aq9hiiKmLRHfMNeAp5wwhmGK5096VmGKuUcLwquyY4eFc4QcJRlezHNJtsDuYv8gIQ4s0xZ2TlhgWMgpyJRmVtPqZnrd4e6YJFRh4M8BBrCgbkSCqEJl8EHOAD2hyphenhyphen9mxS76cqwt19/w640-h480/IMG_1803.jpeg) |
พื้นกระจกเหนือหินหมากเป้งก้อนที่1
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiOGAKB5po4NmxyLlNZbdpBQ4pOjg3_x1U6Lhwef9hvEBUSDWzeEid4NPBBmL16W-dhXjtnsp65i1Tl8uFIbWivqptV-TMHRZLUu2OZuWVGkGhCFhOtVJnPqWBw7N5pCHvT3DTp6za2Z9oZJIp59k79IME4JByTgRKrZ4fEkXbGHv6muWRoM0cXPyZZVDol/w640-h480/IMG_1807.jpeg) |
จุดหมายที่ 2
วัดผาตากเสื้อ
หนองคาย
วัดผาตากเสื้อ เป็นวัดที่มีทิวทัศน์สวยงามมาก มองจากบนผาลงมามองเห็นความเป็นอยู่ของชาวไทย-ลาว ภายในวัดมีธรรมชาติที่สมบูรณ์สามารถเดินเลาะตามหน้าผาเพื่อชมธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงามได้
วัดผาตากเสื้อ เป็นวัดที่มีทิวทัศน์แม่น้ำโขงที่สวยงามมาก มองจากบนผาลงมามองเห็นความเป็นอยู่ของชาวไทย-ลาว ภายในวัดมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ สามารถเดินเลาะตามหน้าผาเพื่อชมธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงามได้ หากไปช่วงหน้าหนาวที่ผาแห่งนี้เป็นอีกจุดหนึ่งมีทะเลหมอก เป็นวัดเหมาะสำหรับปฏิบัติธรรม เพราะว่าเป็นวัดที่ร่มรื่นและมีความเงียบสงบ สำหรับประวัติความเป็นเล่าว่ามีพระรูปหนึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เหรียญซึ่งท่านได้ห้ามไว้ ชื่อ "พระอาจารย์ สมเดช" แต่ด้วยความตั้งใจท่านได้ขึ้นไป
บำเพ็ญเพียรที่บริเวณที่ตั้งวัดปัจจุบันจนได้ ท่านใช้บริเวณบนยอดภูเป็นหลักในการเข้าสู่ถาวะสงบทางใจ เวลาท่านขึ้นไปยอดภูจึงต้องได้ปีนจากด้านล่าง ทั้งใช้หินและเถาวัลย์ในการช่วยพาขึ้นไป หลายครั้งที่ท่านรับอาหารบิณฑบาตแล้วแต่เมื่อเดินทางกลับท่านตกลงมาทำให้ข้าวในบาตรตกออกไป บางครั้งก็มีอาการเจ็บป่วยบ่อยครั้ง พอระยะเวลานานเข้าได้มีญาติโยมคณะผู้มีจิตศรัทธาอาสาช่วยสร้างทางขึ้น และได้ก่อสร้างมาเป็นวัดที่มีพระอุโบสถและบันไดพญานาคที่สวยงามยิ่ง ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมทิวทัศน์สองฝั่งโขงจากจุดชมวิวสกายวอร์ก วัดผาตากเสื้อเป็นอย่างมาก
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQ0mLo_lHmP0p94h8TlGtdmBqp2cnSTGoXqkGUyBS030sZ-dqifX6fULfmaFmWl2bmoA7KYneebAe2mzgFKuhvUJjrDXqXS5XMoukwmF3gSqt6921juajP2qyUa5amBJ2DdUc2-Lkq1XMrysgt2uMP8Cy9l1V24U5M53b5Gbl2j_HUsHMhJLUm3QQyQpMM/w640-h480/IMG_1832.jpeg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-kjv-OVkxI8pER5yBjxjluYcWsqhJaMtzaq0FU586gkJJIlU8Vpl2b_XxvWq4eZYZl1KYmgo1G-mSm_ghYV21zwTpx8v3UX0GLyhfL-OgyGRxF9NVmvdKTKv5bG1v51B2kSdHqpFs6blVJIr_4KVnRgHauw3BnQIwIoUame8DJb8gdV_rbScxlJW7wBhq/w640-h480/IMG_1830.jpeg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgVa_7nYcDlKES7DMeJWHWSN1iZwhtyJMgY0m6GVh_eADVMSCT0MNxx5ziAIDrbLWvT5HUrWP0Fv6bF4qSk1A9OWw_WdUJMs5T-z4tzlJP4RsuajrPlN3svHnpL_6oEOYobYbX6yQTqYixmSem6NTFB3exRL_H-HGQ-IMIgyy25wUARN57Xe5pl1qg8dPl/w640-h480/IMG_1839.jpeg)
จุดหมายที่ 3
วัดป่าภูก้อน
อุดรธานี
วัดป่าภูก้อน เป็นพุทธอุทยานมหารุกขปาริชาติภูก้อน ภายในวัดมีพระบรมสารีริกธาตุ บรรจุในพระเกศพระร่วงโรจน์ศรีบูรพา ซึ่งเป็นประธานประดิษฐานหน้าองค์พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ ซึ่งเป็นวัดที่มีความสวยงามมากของจังหวัดอุดรธานี
ประวัติความเป็นมา
ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูงและป่าน้ำโสม ท้องที่บ้านนาคำใหญ่ ตำบลบ้านก้อง อันเป็นรอยต่อแผ่นดิน 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และหนองคาย กำเนิดขึ้นจากการดำริชอบของพุทธบริษัทผู้ตระหนักถึงคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและป่าต้นน้ำลำธาร ซึ่งกำลังถูกทำลาย โดยมุ่งดำเนินรอยตามพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในการรักษาความสมบูรณ์ของป่าไม้ต้นน้ำลำธารตลอดจนสัตว์ป่า และพรรณไม้นานาพันธุ์ เพื่อให้เป็นมรดกของลูกหลานไทยคู่กับแผ่นดินไทยพร้อมทั้งเพื่อจรรโลงส่งเสริมพระบวรพุทธศาสนาให่เจริญมั่นคงคู่แผ่นดินไทยตราบชั่วกาลนาน
ลักษณะเด่น
พระวิหารที่สวยงามของวัดป่าภูก้อน ได้รับออกแบบวิศวกรรมโครงสร้าง องค์พระพุทธรูปหินอ่อน พระวิหาร ศาลาราย และอาคารรอบลานเขา โดยพระวิหารมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์สมัยรัตนโกสินทร์ มีประตูทางเข้าออกวิหาร 3 ด้าน ภายในถูกตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา แฝงไปด้วยเรื่องราวคำสอนของพระพุทธเจ้า รอบผนังภายในวิหารตกแต่งอย่างสวยงามด้วย ภาพพุทธประวัติและภาพทศชาติ ตกแต่งเป็นภาพปั้นนูนต่ำหล่อด้วยทองแดงจำนวน 22 ช่อง ซึ่งเป็นภาพของพระพุทธเจ้าในองค์ชาติต่างๆ 10 ชาติ เป็นการสื่อความหมายถึงการสั่งสมบารมีด้วยความพรากเพียร และความเสียสละของพระองค์ในทุกๆชาติ โดยด้านบนของทุกภาพ แกะสลักบทสวดอิติปิโสช่องละท่อนด้วยสีเขียวเข้มบนหินอ่อนขาวถือเป็นผนังพระวิหารที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirWMzWelU3VRLcMwCquNsQRDU6NOQE5-m_qU6OIMNjLsy61YzTlHMracy0hjOTk4fHBsE4cwBe23YX51uGWcGjvRmcgsd1gPCG7L6c6bXzPGDk9VkYLgEVLhNSBaE017SJcVrW1H1j-W85wk6E9U3EzmqeZxKWgMqJ1rpBpyjsnJ0S3staZP7UIRTCWaVr/w640-h480/IMG_1849.jpeg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNJZbAnQGMVe0ZSl-ZyNYQB2eWlTWEy9jMv4uv4wLUp_8jSdlzZV2K68okF_b20KOTt1jruL7KEMvNc_OfZK5khgGcq88AYzQ2ANwFmrbn013dtGeKfMMXRPzFlLOvD1PvqYwdtQRiJ4mXKE6aRCU-ZUrifnDl0DffA9lKOUQ9fR2WIvJFcrqWuX4rRutt/w640-h480/IMG_1854.jpeg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZZ5CtsqCghKmPQ_NROOR6-AyQlrN2b0m4A3_Qs-EjrAaorA4O7e2Z3BDMMVDfrnBwXEQL2V1ZG8DC93JDlVNrQ4K-6LTGDKPaVSz2q8Q8b71Dmgg0lAwUp_-naxebe3iBanNbDsKjwzUE9wP03zWX_1rgnNX4cgyC-mRCFQabcFQQ8qbvnnVnXoSFZuiD/w640-h480/IMG_1858.jpeg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbKy4KaA85iJkT76F8uOd3k_Hm7e-nnfX-Dq-aXaecC8vmD01sthl6GLz5CIB8ULNiSaAT2dyR0kQxmPfyadwGQBIuXDPqvNDVQtuxGL3oL-CcDSeH4bo0Ys4eJDnmLVAYk0_ck0fJVHcA1-fTUCqJTkvb3j9-s9cIk0yBhOUISi5spfvVFPyCVBzMxmex/w640-h480/IMG_1861.jpeg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjswseKYYcO3xWNsEQxVaiiuxR3dnq0vpxAaG1JQ7uXY8ns8nYDgcjZN18SywyuIlj9jTrdVCEXan33LPy78dKTjozx4F7l5MmxiuW9shS98ULLNVcfhNt-jMGymhwLy-_z5nVCSxxQckGm8RBdovGVGVeoIGKb-oe4B55_1sZwZRF_3dsIib12OZwL3hFt/w640-h480/IMG_1862.jpeg)
ภายในวัดมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ ในพระเกศพระร่วงโรจน์ศรีบูรพา ซึ่งเป็นประธานประดิษฐานหน้าองค์พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ มีพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี พระพุทธไสยาสน์หินอ่อนสีขาว ความยาว 20 เมตร สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี ที่นำมาเรียงซ้อนกันถึง 42 ก้อน ซึ่งเป็นหินขาวอ่อนที่มีความสวยงามและทนทานมากที่สุด ใช้ระยะเวลาในการสร้างถึง 6 ปี สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา ในปี 2554 คณะพุทธบริษัทวัดป่าภูก้อนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน จึงมีการจัดสร้างพระพุทธไสยาสน์องค์นี้ขึ้น ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ทางพุทธศิลป์แห่งรัชกาลที่ 9
นอกจากพระวิหารและพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนีที่เป็นจุดเด่นของวัดป่าภูก้อนแล้ว ยังมี พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ ที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันถัดมาทางด้านล่างก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และรูปปั้นหินอ่อนของเหล่าเกจิอาจารย์ชื่อดังของประเทศไทย ซึ่งมีศิษยานุศิษย์อยู่มากมาย โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางขึ้นบันไดยาวเพื่อเข้ามายังเจดีย์เพื่อเข้าไปสักการบูชา แม้จะสร้างขึ้นได้ไม่นานแต่ที่นี่ถูกยกให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวอีสานอีกหนึ่งแห่ง
จุดหมายสุดท้าย
อำลาหนองคาย
พระธาตุหนองคาย หรือพระธาตุกลางน้ำ
เป็นพระธาตุที่หักพังอยู่กลางลำน้ำโขง เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุฝ่าพระบาทเก้าพระองค์ตามตำนานอุรังคธาตุ (พระพนม) จากการสำรวจใต้น้ำของหน่วยโบราณคดีภาค 7 พบว่าองค์พระธาตุมีฐานกว้างด้านละ 17.2 เมตร
พระธาตุองค์นี้คือ พระธาตุเมืองลาหนองคาย บ้างเรียกพระธาตุหล้าหนอง พระธาตุที่มีความเก่าแก่องค์หนึ่งในภาคอีสาน เพราะปรากฏร่องรอยอยู่ในตำนานอุรังคธาตุ ตำนานโบราณพื้นถิ่นสองฝั่งโขง
ตำนานอุรังคธาตุ กล่าวถึงสถานที่แห่งนี้ว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนของฝ่าพระบาทเบื้องขวา (ฝ่าเท้าข้างขวา) จำนวน 9 องค์ ที่พระอรหันต์สังขวิชาเถระอัญเชิญมาจากอินเดีย ดังที่ ตำนานอุรังคธาตุ บันทึกไว้ว่า
“…ส่วนมหาสังขวิชเถระนั้นนำเอาพระบรมธาตุ 9 องค์ประดิษฐานที่เมืองลาหนองคาย น้าเลี้ยงพ่อนมพร้อมด้วยชาวเมืองสร้างอุโมงค์สำหรับประดิษฐานพระบรมธาตุนั้นใต้พื้นแผ่นดิน ขนาดกว้างด้านละ 2 วา 2 ศอก สูง 3 วา แล้วไปด้วยซะทายลายจีน จึงเอาแผ่นเงินอันบริสุทธิ์รองพื้น แล้วนำเอาพระบรมธาตุเข้าในผอบทองคำ นำไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์นั้น…”
ต่อมา ในสมัยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ล้านช้าง ที่ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2091-2114 โปรดให้สร้างเจดีย์ครอบพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุเมืองลาหนองคายจึงน่าจะก่อสร้างครั้งแรกในปลายพุทธศตวรรษที่ 21
จนกระทั่งแม่น้ำโขงกัดเซาะตลิ่งทำให้พระธาตุเมืองลาหนองคายจมลงในแม่น้ำเมื่อ พ.ศ. 2390 ดังที่พงศาวดารย่อเมืองเวียงจันทน์ ระบุว่า “…ศักราชได้ 209 ปีเมิงมด (มะแม)…เดือน 9 ขึ้น 9 ค่ำ วันศุกร์ยามแลใกล้ต่ำมื่อฮับไค้ พระธาตุใหญ่หนองคายเพ (พัง) ลงน้ำของ มื่อนั้นแล
นมัสการ