วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ผาแต้ม






Pha Taem National Park


Pha Taem National Park (Thai:อุทยานแห่งชาติผาแต้ม) is a national park on the Mekong River in Ubon Ratchathani Province, northeast Thailand.Phou Xieng Thong National Protected Area in Laos is on the opposite side of the river. It is notable for its Dipterocarp forest cover and for extensive rock art on cliffs above the Mekong. The art is estimated to be 3,000 years old. The park also has several examples of mushroom rocks as well as the largest flower field in Thailand.










ในอดีตมีชาวบ้านในพื้นที่โดยรอบเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าเข้ามาในพื้นที่ผาแต้ม  เพราะเชื่อกันว่าผาแต้มเป็นสถานที่ต้องห้ามและภูเขาได้รับการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผาแต้มมีชื่อเสียงในนาม "ภูเขาแห่งความตาย" และใครก็ตามที่ฝ่าฝืนเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยหรือแย่กว่านั้นคือเสียชีวิต ภูมิภาคผาแต้มได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง หลังจากนั้น อาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร ภาควิชาโบราณคดี ได้ทำการวิจัยและค้นพบภาพวาดโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์อายุ 3,000-4,000 ปี ที่ผาแต้ม บ้านกุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
ในภาษาถิ่นเดิมนั้น “แต้ม” หมายถึง การวาดภาพ ระบายสี การตอก หรือการกระทำอื่นใดที่ใช้สีเพื่อสร้างภาพ เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ เป็นที่ตั้งของภาพวาดยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุตั้งแต่ 3,000 ถึง 4,000 ปี

การสร้างภาพเขียนสีสร้างโดย 2 เทคนิคใหญ่ๆ คือ 1. การลงสี (Pictograph) หรือการสร้างภาพด้วยสี ในวิธีต่างๆ เช่นวาดด้วยสีแห้ง(Drawing Withdraw Pigment) เขียนหรือ ระบายเป็นรูป (Painting) พ่นสี (Stenciling) สะบัดสี (Paint Splattering) การทาบหรือทับ (Imprinting) 2. การทำรูปรอยลงในหิน มีวิธีต่างๆ เช่นฝน จารขูดขีด แกะหรือ ตอก ฯลฯ การใช้สีที่พบจะเป็นสีแดงจะสัมพันธ์กับพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตาย เพราะตามแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในประเทศไทย มักจะพบสีแดงหรือสิ่งของ สีแดงในหลุมฝังศพงานศิลปะที่ผาแต้ม จึงอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตายของผู้ตายในสมัยนั้นภาพเขียนสีในอุทยานแห่งชาติ ผาแต้มที่พบและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยมีทั้งหมด ๔ กลุ่มตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติชื่อว่าศิลปะถ้ำ สีที่คนในยุคโบราณมักใช้ในการวาดคือ หินเทศ ที่จริงแล้วก็คือ หินทราย ชนิดหนึ่ง มีชื่อหลักว่าหินทรายแดง จะพบได้ทั่วไปในพื้นที่ประเทศไทย และจะพบมากในพื้นที่ภาคอีสานซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาหินทราย หินทรายแดงจะประกอบด้วยอนุภาคดินทรายแป้งที่ความละเอียดมาก สีเทาปนแดง แร่ที่เป็นองค์ประกอบหลักคือแร่ควอตร์และแร่เหล็กที่เรียกว่า hematite คนในยุดก่อนรู้จักนำเอาหินทรายแดงมาใช้ ประโยชน์โดยเฉพาะตามแหล่งภาพเขียนสีโบราณจะพบว่ามีการนำเอาหินทรายแดงหรือหินเทศมาใช้เป็นวัตถุดิบในการวาดภาพตามผนังถ้ำ ตามหน้าผา หรือวาดลงบนเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ

ภาพเขียนสี

ภาพเขียนสีกลุ่มผาแต้มนี้ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ตามชื่อหน้าผาเรียงต่อกันไปคือ ผาขาม ผาแต้ม ผาหมอนน้อย และผาหมอน หน้าผานี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภาพเขียนที่ผาแต้มเป็นผาที่มีภาพเขียนเป็นแนวยาวติดต่อกันและมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด 







ผาขาม

ภาพสีกลุ่มที่1 ภาพปลาขนาดใหญ่ 4 ตัว ยาวประมาณ 0.35 - 1.00 เมตร เขียนด้วยสีแดง แบบเห็นโครงสร้าง
ภายใน ( x-ray ) นอกจากนั้นมีภาพช้าง 1 ตัว ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าปลามาก (ประมาณ 13 ซม.) และภาพสัตว์สี่เท้า? 1 ตัว


        ผาแต้ม

ภาพเขียนสีผาแต้ม กลุ่มที่ 2 เป็นภาพเขียนสีกลุ่มที่ใหญ่อยู่ห่างจากเขียนกลุ่มที่1 (ผาขาม) 300 เมตร ภาพเขียนสีในจุดนี้ เป็นกลุ่มภาพเขียนสีที่มีขนาดใหญ่ และ ยาวถึง 180 เมตรมีหลากหลายแบบทั้งภาพคน สัตว์ และอื่นๆ กว่า 300 ภาพ ปะปนกัน บางภาพก็ซ้อนทับกันอยู่ ภาพที่พบในจุดนี้จะมีลักษณะ สามารถแยกประเภทได้ชัดเจนใช้สีแดงเป็นส่วนใหญ่ มีการใช้เทคนิคทั้งการลงสี และการทำรูปรอยลงในเนื้อหินลักษณะเด่นของกลุ่มภาพเขียนสีที่ผาแต้มนี้จะเป็นภาพของฝ่ามือมนุษย์ แบบทึบ และแบบโปร่ง ภาพสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นทั้งสัตว์บก และสัตว์น้ำ ภาพเขียนที่เป็นสัตว์บก เช่น ช้าง วัว หมา และภาพเขียนสีที่เป็นสัตว์น้ำ เช่น เต่าหรือตะพาบ ปลาบึก(ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่พบในลำน้ำโขง) ลักษณะของการวาดภาพมีทั้งการวาดโครงร่าง และการระบายสีทึบ ภาพสัตว์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่นี้ควรเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ในยุคนั้น


ผาหมอนน้อย

ภาพคนสูงประมาณ 1.6 เมตร กำลังเหนี่ยวคันธนูเล็งไปยังสัตว์สี่ขาอาจเป็นวัวท้อง ลำตัวยาวประมาณ 6.4 เมตร ภาพคนสูงประมาณ 1.2 เมตร กำลังไล่สัตว์สี่ขามีเขาอาจเป็นกวางที่บุกรุกเข้าไปในนาข้าว ซึ่งรอบๆภาพกลุ่มนี้มีภาพมือทั้งซ้ายและขวาประมาณ 20 มือ ทำขึ้นโดยการทาสีบนฝ่ามือแล้วขูดสีบางส่วนที่นิ้วและฝ่ามือออกแล้วจึงทาบมือลงบนผนัง


ถัดมาเป็นภาพสัตว์สี่ขา 3 ตัว ท้องป่องคล้ายท้องเช่นกัน กับภาพลายเส้นคล้ายตาข่ายดักสัตว์ นอกจากนี้ก็มีภาพลายเส้นคู่ขนานต่อกัน และภาพมือที่มีลักษณะเช่นเดียวกับกลุ่มแรกอีกประมาณ 15 มือ เรียงกันเป็นแถวยาวกับลายเส้นหยักขึ้นลงวกไปมาด้วย ภาพคนและสัตว์ระบายสีแดงแบบเงาทึบ (silhouette)

 





ผาหมอน (อาจปิดให้ชม)

ภาพทั้งหมดเขียนด้วยสีแดงแบบระบายเงาทึบ (silhouette) ประกอบด้วยภาพคนและสัตว์ กลุ่มแรกมีภาพคนเพียงคนเดียวกับภาพสัตว์สี่ขา 11 ตัว อาจเป็นช้าง วัว สุนัข และหมูหรือแกะหรือแพะเดินตามกันไปในทิศทางเดียวกัน (ยกเว้นสุนัข? ที่หันหน้าเข้าหาฝูงสัตว์) 


กลุ่มที่สองเป็นภาพคนประมาณ 10 คน เขียนแบบระบายเงาทึบกับแบบกิ่งไม้ มีลักษณะค่อนข้างเหมือนจริง แสดงกล้ามเนื้อน่องโป่งพองด้วย ภาพที่น่าสนใจของที่ผาหมอนนี้คือภาพคนนุ่งกระโปรงยาวครึ่งน่อง ยืนท้าวสะเอว มีขนาดใหญ่กว่าภาพคนอื่นๆ ไม่รู้แน่ว่าเป็นหญิงหรือชาย นอกจากนี้มีภาพมือข้างขวาของผู้ใหญ่แบบพ่น (stencil) 2 มือ และแบบทาบ (imprint) อีก 2 มือ และมือเด็กแบบทาบอีก 2 มือด้วย




วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ปราสาทพนมรุ้ง

 


ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ของปราสาทพนมรุ้ง เป็นโบราณวัตถุที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของไทย ที่เชื่อว่าถูกโจรกรรมไปเมื่อราวปี พ.ศ. 2503 ในช่วงสงครามเวียดนาม และถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะชิคาโก ในรัฐอิลลินอยของสหรัฐ แต่ในที่สุดชาวไทยนำโดยรัฐบาล และ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ก็ได้ทับหลังชิ้นนี้คืนมาในปี พ.ศ. 2531


ขบวนการศิลปะแบบนครวัด
สถานที่อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง, จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย

ประวัติแก้

ในปี พ.ศ. 2508 กรมศิลปากรพบชิ้นส่วนบางชิ้นของทับหลัง ที่ร้านขายของเก่าย่านราชประสงค์จึงได้ยึดคืนมา ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 ศาสตราจารย์ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล ขณะดำรงตำแหน่งคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และ ดร. ไฮแรม วูดเวิร์ด จูเนียร์ อดีตอาสาสมัครสันติภาพ ที่เคยสอนในมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ไปพบทับหลังนารายณ์บรรทม สินธุ์ชิ้นนี้ ที่สถาบันศิลปะ นครชิคาโก สหรัฐ และทรงมีหนังสือแจ้งอธิบดีกรมศิลปากรอย่างเป็นทางการว่าควรจะขอกลับคืน จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2531 ขณะที่การบูรณะปราสาทหินพนมรุ้งใกล้จะเสร็จเรียบร้อย มีการรื้อฟื้นเรื่องการขอคืนทับหลังขึ้นมาใหม่ ซึ่งครั้งนี้ได้รณรงค์กันอย่างกว้างขวาง ทั้งในกรุงเทพมหานคร ต่างจังหวัด ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในนครชิคาโกรวมทั้งชาวอเมริกันและชาติอื่น ๆ ได้ให้การสนับสนุน

จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีรองศาสตราจารย์วันชัย วัฒนกุล อธิการบดีวิทยาลัยครูบุรีรัมย์ เป็นประธาน อาจารย์เทียนชัย ให้ศิริกุล และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วิสุทธิ์ ภิญโญวาณิชกะ เป็น เลขาฯ ร่วมกับข้าราชการ พ่อค้าประชาชน และนักเรียนนักศึกษา กว่า 15,000 คนได้ชุมนุมกันเพื่อเรียกร้องขอทับหลังคืน โดยทำหนังสือถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ นายพร อุดมพงษ์

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 สถาบันศิลปะ นครชิคาโก ได้ส่งทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ กลับคืนสู่ประเทศไทย ในพระนามของศาสตราจารย์ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล ทับหลังจะถึงสนามบินดอนเมืองในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 โดยสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์


อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง หรือ ปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทยภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เป็นหนึ่งในปราสาทหินในกลุ่มราชมรรคา ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 2 (บ้านดอนหนองแหน) ตำบลตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ห่างจากตัวเมืองบุรีรัมย์ลงมาทางทิศใต้ประมาณ 77 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยโบราณสถานสำคัญ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว สูงประมาณ 200 เมตรจากพื้นราบ (ประมาณ 350 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) คำว่า พนมรุ้ง นั้น มาจากภาษาขอม คำว่า วนํรุง แปลว่า ภูเขาใหญ่

ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นโบสถ์พราหมณ์ลัทธิไศวะมีการบูรณะก่อสร้างต่อเนื่องกันมาหลายสมัย ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ถึงพุทธศตวรรษที่ 17 และในพุทธศตวรรษที่ 18 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมได้หันมานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน เทวสถานแห่งนี้จึงได้รับการดัดแปลงเป็นวัดมหายาน ในช่วงแรกปราสาทหินพนมรุ้ง สร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพู ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้งสูง 1,320 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ชื่อพนมรุ้งแปลว่าภูเขาใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 15-18

จารึกต่าง ๆ ที่นักวิชาการได้อ่านและแปลพอจะสรุปได้ว่า พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 กษัตริย์แห่งขอม (พ.ศ. 1487-1511) ได้สถาปนาเทวสถานถวายพระศิวะที่เขาพนมรุ้ง ซึ่งในสมัยแรก ๆ คงยังไม่ใหญ่โตนัก ต่อมาพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พ.ศ. 1511-1544) ได้ทรงอุทิศที่ดินและข้าทาสถวายแด่เทวสถานพนมรุ้ง ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 นเรนทราทิตย์ เจ้านายแห่งราชวงศ์มหิธรปุระที่ปกครองดินแดนแถบนี้ (ซึ่งเป็นต้นตระกูลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด) ได้สร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นและได้ทรงบำเพ็ญพรตเป็นโยคี ณ ปราสาทพนมรุ้ง

Phanom Rung Historical Park is an archaeological site in Thailand, covering the ruins of Prasat Phanom Rung (Thaiปราสาทพนมรุ้งpronounced [prāː.sàːt pʰā.nōm.rúŋ]), a Hindu Khmer Empire temple complex set on the rim of an extinct volcano at 402 metres (1,319 ft) elevation. It is located in Buriram Province in the Isan region of Thailand, and was built at a time when Khmer social-political influences were significant in Srisaket. It was built of sandstone and laterite between the 10th and 13th centuries. It was a Hindu shrine dedicated to Shiva, and symbolises Mount Kailash, his heavenly dwelling.


สถาปัตยกรรมและโบราณสถาน

แก้

ผังปราสาทหินพนมรุ้ง

ปราสาทหินพนมรุ้งสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดูลัทธิไศวะซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด ดังนั้นเขาพนมรุ้งจึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะ

องค์ประกอบและแผนผังของปราสาทพนมรุ้งได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็นแนวเส้นตรง และเน้นความสำคัญเข้าหาจุดศูนย์กลาง นั่นคือปราสาทประธานซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้านขวาของบันไดทางขึ้นสู่ศาสนสถานมีอาคารที่เรียกว่า พลับพลา อาคารนี้อาจจะเป็นอาคารที่เรียกกันในปัจจุบันว่า พลับพลาเปลื้องเครื่อง ซึ่งเป็นที่พักจัดเตรียมองค์ของพระมหากษัตริย์ ก่อนเสด็จเข้าสู่การสักการะเทพเจ้าหรือประกอบพิธีกรรมในบริเวณศาสนสถาน 




สะพานนาคราชแก้

สะพานนาคราช

ทางเดินสู่ปราสาททั้งสองข้างประดับด้วยเสามียอดคล้ายดอกบัวตูมเรียกว่า เสานางเรียง จำนวนข้างละ 35 ต้น ทอดตัวไปยัง สะพานนาคราช ซึ่งเป็นรูปทรงกากบาทยกพื้นสูง ราวสะพานทำเป็นลำตัวพญานาค 5 เศียร สะพานนาคราชนี้ ตามความเชื่อเป็นทางที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับเทพเจ้า สิ่งที่น่าสนใจคือ จุดกึ่งกลางสะพาน มีภาพจำหลักรูปดอกบัวแปดกลีบ อาจหมายถึงเทพประจำทิศทั้งแปด ในศาสนาฮินดู หรือเป็นจุดที่ผู้มาทำการบูชา ตั้งจิตอธิษฐาน จากสะพานนาคราชชั้นที่ 1 มีบันไดจำนวน 52 ขั้นขึ้นไปยังลานบนยอดเขา 

ด้านข้างของทางเดินทางทิศเหนือมีพลับพลาสร้างด้วยศิลาแลง 1 หลัง เรียกกันว่า โรงช้างเผือกสุดสะพานนาคราชเป็นบันไดทางขึ้นสู่ปราสาท ซึ่งทำเป็นชานพักเป็นระยะ ๆ รวม 5 ชั้น สุดบันไดเป็นชานชลาโล่งกว้าง ซึ่งมีทางนำไปสู่สะพานนาคราชหน้าประตูกลางของระเบียงคด อันเป็นเส้นทางหลักที่จะผ่านเข้าสู่ลานชั้นในของปราสาท และจากประตูนี้ยังมีสะพานนาคราชรับอยู่อีกช่วงหนึ่งก่อนถึงปรางค์ประธาน




ที่หน้าซุ้มประตูระเบียงคดทิศตะวันออก มีสะพานนาคราชชั้นที่ 2 ระเบียงคดก่อเป็นห้องยาวต่อเนื่องกัน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ารอบลานปราสาทแต่ไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ เพราะมีผนังกั้นอยู่เป็นช่วง ๆ มีซุ้มประตูกึ่งกลางของแต่ละด้าน ที่มุมระเบียงคดทำเป็นซุ้มกากบาท ที่หน้าบันของระเบียงคดทิศตะวันออกด้านนอก มีภาพจำหลักรูปฤๅษีซึงหมายถึงพระศิวะในปางที่เป็นผู้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และอาจรวมหมายถึง นเรนทราทิตย์ ผู้ก่อสร้างปราสาทประธานแห่งนี้ด้วย


After the three-leveled lower stairway is the first cruciform platform, giving a first peek at the main temple. On the right, northward, is Phlab Phla or the White Elephant House. The pavilion is believed to be the place where kings and the royal family would change attire before rituals. Royalty would then enter the processional walkway, one of the most impressive elements of the park. It is 160 meters long and bordered by seventy sandstone posts with tops of lotus buds. The walkway itself is paved with laterite blocks. 

หลังจากบันไดล่างสามชั้นจะมีแท่นรูปไม้กางเขนแห่งแรก ให้มองดูวิหารหลักเป็นครั้งแรก ทางด้านขวามือทางเหนือคือพลับพลาหรือบ้านช้างเผือก เชื่อกันว่าศาลาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่กษัตริย์และราชวงศ์จะมาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก่อนประกอบพิธีกรรม จากนั้นราชวงศ์ก็จะเข้าสู่ทางเดินซึ่งเป็นองค์ประกอบที่น่าประทับใจที่สุดแห่งหนึ่งของอุทยาน มีความยาว 160 เมตร ล้อมรอบด้วยเสาหินทรายเจ็ดสิบต้นและมียอดบัวตูม ทางเดินปูด้วยศิลาแลง

The walkway leads to the first of three naga bridges. The five-headed snakes face all four directions and are from the 12th century. This bridge represents the connection between heaven and earth. The naga bridge leads to the upper stairway, which is divided into five sets. Each set has terraces on the sides. The last terrace is wide, made with laterite blocks. It has a cruciform shape and four small pools. A couple more steps lead to the second naga bridge. It has the same shape as the first one, only smaller. In the middle the remains of an eight petalled lotus carving can be seen. 




ทางเดินนำไปสู่สะพานพญานาคแห่งแรกในสามแห่ง งูห้าหัวหันหน้าไปทางทั้งสี่ทิศและมาจากศตวรรษที่ 12 สะพานแห่งนี้แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างสวรรค์และโลก สะพานนาคนำไปสู่บันไดด้านบนซึ่งแบ่งออกเป็นห้าชุด แต่ละชุดมีระเบียงด้านข้าง ระเบียงสุดท้ายกว้างก่อด้วยศิลาแลง มีรูปร่างคล้ายไม้กางเขนและมีแอ่งเล็กๆ สี่สระ อีกสองสามก้าวจะถึงสะพานพญานาคแห่งที่ 2 มีรูปร่างเหมือนกับอันแรกแต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น ตรงกลางมองเห็นซากดอกบัวแปดกลีบ 


This final terrace leads to the outer gallery. It probably used to be a wooden gallery with a tiled roof, but only a raised floor of laterite remains. After the outer gallery one reaches the inner gallery, which is divided in long and narrow rooms. It served as a wall around the principal tower. This last gallery leads to the third and last naga bridge, another small copy of the first one. 

ระเบียงสุดท้ายนี้นำไปสู่แกลเลอรีด้านนอก อาจเคยเป็นห้องแสดงภาพไม้หลังคากระเบื้อง แต่เหลือเพียงพื้นศิลาแลงยกสูงเท่านั้น หลังจากแกลเลอรีด้านนอกแล้ว เราก็มาถึงแกลเลอรีด้านในซึ่งแบ่งออกเป็นห้องยาวและแคบ ทำหน้าที่เป็นกำแพงล้อมรอบหอคอยหลัก ห้องสุดท้ายนี้นำไปสู่สะพานนาคที่สามและสุดท้ายซึ่งเป็นสำเนาเล็ก ๆ ของสะพานแรก









The bridge leads directly into the main sanctuary. After the antechamber and the annex, one reaches the principal tower. Double porches lead out in all directions. The inner sanctum used to have the "linga", the divine symbol of Shiva. Currently, only the "somasutra" remains which was used to drain water during religious rites. 






 The entrances have various lintels and icons depicting Hindu religious stories, e.g., the dancing Shiva and the five yogis. The south entrance is guarded by a sandstone statue. 

สะพานนำไปสู่วิหารหลักโดยตรง หลังจากห้องใต้หลังคาและส่วนต่อขยายแล้ว ก็จะถึงหอคอยหลัก ระเบียงคู่เปิดออกไปทุกทิศทาง วิหารชั้นในเคยมี "ลึงค์" อันเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ ปัจจุบันเหลือเพียง "โสมสุตรา" ที่ใช้ระบายน้ำในพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น ทางเข้ามีทับหลังและสัญลักษณ์ต่างๆ ที่แสดงเรื่องราวทางศาสนาฮินดู เช่น ระบำพระศิวะ และโยคีทั้งห้า ทางเข้าทิศใต้มีรูปปั้นหินทรายเฝ้าอยู่






Apart from the main tower, other buildings in the compound are:

  • Two brick sanctuaries built around the 10th century, northeast of the tower.
  • The minor sanctuary southwest of the tower with a sandstone altar for a sacred image. It was built with sandstone in the 11th century. Prang Noi has only one entrance facing east. The sanctuary is square with indented corners, giving it a round feel.
  • Two Bannalai southeast and northeast of the principal tower. The buildings are rectangular and have only one entrance. They were built in the last period, around the 13th century, and used as a library for holy scriptures.




ตัวปราสาท

แก้

ปราสาทประธาน

ปราสาทประธาน ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของลานปราสาทชั้นใน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมมณฑป คือห้องโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เชื่อมอยู่ทางด้านหน้าที่ส่วนประกอบของปรางค์ประธานตั้งแต่ฐานผนังด้านบนและด้านล่าง เสากรอบประตู เสาติดผนัง ทับหลัง หน้าบัน ซุ้มชั้นต่าง ๆ ตลอดจนกลีบขนุน ก่อด้วยหินทรายสีชมพูมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมกว้าง 8.20 เมตร สูง 27 เมตร ด้านหน้าทำเป็นมณฑปโดยมีอันตราละหรือฉนวนเชื่อมปราสาทประธานนี้ เชื่อว่า สร้างโดย นเรนทราทิตย์ ซึ่งเป็นผู้นำปกครองชุมชนที่มีปราสาทพนมรุ้งเป็นศูนย์กลาง ราว พุทธศตวรรษที่ 17 



ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์

ที่บริเวณหน้าบันและทับหลังของปราสาทประธานมีภาพจำหลักแสดงเรื่องราวในศาสนาฮินดู เช่น ศิวนาฏราช(ทรงฟ้อนรำ) ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ อวตารของพระนารายณ์ เช่น พระราม (ในเรื่องรามเกียรติ์) หรือพระกฤษณะ ภาพพิธีกรรม ภาพชีวิตประจำวันของฤๅษีเป็นต้น โดยเฉพาะทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ เป็นทับหลังที่ถูกขโมยไปเมื่อราวปี พ.ศ. 2503 และได้กลับคืนมาในปี พ.ศ. 2531

ปรางค์ล้วนสลักลวดลายประดับทั้งลวดลายดอกไม้ ใบไม้ ภาพฤๅษี เทพประจำทิศ ศิวนาฏราช ที่ทับหลังและหน้าบันด้านหน้าปรางค์ประธาน ลักษณะของลวดลายและรายละเอียดอื่น ๆ ช่วยให้กำหนดได้ว่าปรางค์ประธานพร้อมด้วยบันไดทางขึ้นและสะพานนาคราชสร้างขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 17 ภายในลานชั้นในด้านตะวันตกเฉียงใต้ มีปรางค์ขนาดเล็ก 1 องค์ ไม่มีหลังคา จากหลักฐานทางศิลปกรรมที่ปรากฏ เช่น ภาพสลักที่หน้าบัน ทับหลัง บอกให้ทราบได้ว่าปรางค์องค์นี้สร้างขึ้นก่อนปรางค์ประธาน มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 16




ศิวลึงค์ประดิษฐานภายในห้องครรภคฤหะ

ภายในเรือนธาตุตรงกึ่งกลาง เรียกว่า ห้องครรภคฤหะ เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพที่สำคัญที่สุด ในที่นี้คือ ศิวลึงค์ ซึ่งแทนองค์พระศิวะ เป็นที่น่าเสียดายว่า ประติมากรรมชิ้นนี้ได้สูญหายไป เหลือเพียงแต่ ท่อโสมสูตร คือร่องน้ำมนต์ที่ใช้รับน้ำสรงจากการสักการะศิวลึงค์เท่านั้น 

ทางเดินด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน มีปราสาทอิฐสององค์และปรางค์น้อย จากหลักฐานทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม กล่าวได้ว่า ปราสาททั้งสามหลังได้สร้างขึ้นก่อนปราสาทประธานราวพุทธศตวรรษที่ 15 และ 16 ตามลำดับ ส่วนทางด้านหน้าของปราสาทประธาน คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีอาคารสองหลังก่อด้วยศิลาแลง เรียกว่าบรรณาลัย ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์ทางศาสนา ก่อสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 ร่วมสมัยเดียวกันกับ โรงช้างเผือก พลับพลาที่สร้างขึ้นด้วยศิลาแลงข้างทางเดินขึ้นสู่ปราสาททางทิศเหนือ






บริเวณรายรอบแก้

ด้านหลังทางเข้าปราสาทหินพนมรุ้ง สังเกตเห็นประตู 15 ช่อง ตรงกลางคือ ศิวลึงค์ และ โคนนทิ

ชุมชนที่เคยตั้งอยู่บริเวณเขาพนมรุ้งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ เพราะนอกจากมีบารายหรืออ่างเก็บน้ำ ซึ่งใช้ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของปากปล่องภูเขาไฟเดิมเป็นอ่างเก็บน้ำอยู่บนเขาอยู่แล้ว ที่เชิงเขามีบารายอีก 2 สระ คือสระน้ำหนองบัวบารายที่เชิงเขาพนมรุ้ง และสระน้ำโคกเมืองใกล้ปราสาทหินเมืองต่ำ สระน้ำบนพื้นราบเบื้องล่างภูพนมรุ้งนี้รับน้ำมาจากธารน้ำที่ไหลมาจากบนเขา นอกจากนี้ยังมีกุฏิฤๅษีอยู่ 2 หลัง เป็นอโรคยาศาลที่รักษาพยาบาลของชุมชนอยู่เชิงเขาด้วย

บริเวณที่ตั้งของปราสาทพนมรุ้งอาจเคยเป็นที่ตั้งของศาสนพื้นถิ่นมาก่อนที่จะมีการก่อสร้างขึ้นเป็นปราสาท ที่มีความใหญ่โตงดงาม สมกับเป็น กมรเตงชคตวฺนํรุง ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งปราสาทพนมรุ้ง อันหมายถึงองค์พระศิวะในศาสนาฮินดูที่กษัตริย์ขอมทรงนับถือ การเปลี่ยนสถานที่เคารพพื้นถิ่นให้เป็นปราสาทตามแบบคติขอม น่าจะเกี่ยวเนื่องกับ การเปลี่ยนลักษณะการเมืองการปกครอง ที่ผู้นำท้องถิ่นมีความสัมพันธ์กับกษัตริย์ขอมโดยใช้ระบบความเชื่อมทางศาสนา วัฒนธรรมและวัฒนธรรมท้องถิ่น

กางเตนท์ท้าลมหนาวใต้ต้นพญาเสือโคร่ง

  มกราคม 2568 ทริปนี้ตั้งใจมาลองไปนอนกางเตนท์บนดอยที่เชียงใหม่  จองพื้นที่กางเตนท์ในเวปของอุทยานไว้กันเหนียว เค้าคิดค่าบริการ 30 บาทต่อคน/คื...